20 ข้อควรรู้ เมื่อพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบิน

20 ข้อควรรู้ เมื่อพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบิน

เคยสงสัยไหมว่าถ้าอยากพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินต้องทำยังไง?? วันนี้ Moof49 เลยขอนำ 20 ข้อควรรู้ก่อนพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องบินมาฝากทุกคนกัน วิธีอาจยุ่งยากไปนิดและเสียเงินเยอะสักหน่อย แต่รับรองว่าไม่เกินกำลังทรัพย์อย่างแน่นอน!! ซึ่งการพาสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องมีด้วยกัน 2 วิธีคือ พาขึ้นบนห้องโดยสาร และนำฝากไปใต้ท้องเครื่อง

โดยสัตว์เลี้ยงที่ได้รับอนุญาตจะมี สุนัข แมว นกขนาดเล็ก กระต่าย เฟอเลต แฮมเตอร์ มามอท กระรอก และชิลชิลล่า ทั้งนี้ขึ้นอยู่ชนิด สายพันธุ์ กฎหมายของแต่ประเทศ และกฎของสายการบินด้วยน้า ที่สำคัญกสัตว์เลี้ยงจะต้องมีอายุมากกว่าแปดสัปดาห์และหย่านมแล้ว (กฎของUSDA) ถึงจะนำไปด้วยได้ เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว ไปดูทั้ง 20 ข้อกันดีกว่าว่ามีอะไรบ้าง

1. เลือกช่วงเวลาของปี

พยายามเลือกเวลาที่อากาศอยู่ในเกณฑ์ปกติ ถ้าจะไปประเทศที่หนาว ควรได้รับการรับรองจากสัตวแพทย์ว่าสัตว์เลี้ยของคุณนั้นทนไหว เพราะบางสายการบินไม่อนุญาตให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในห้องเก็บสัมภาระในช่วงเวลาที่ร้อนจัดหรือหนาวจัด ฉะนั้นควรเลือกเที่ยวบินในตอนเช้าหรือค่ำๆในช่วงหน้าร้อนนะคะ

2. เลือกสายการบิน

คุณสามารถดูกฎของแต่ละสายการบินได้ทางเว็ปไซต์ แต่เพื่อความชัวร์ลองโทรสอบถามให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของคุณสามารถขึ้นเครื่องบินได้ และพยายามเลือกไฟลท์ที่บินตรง เพื่อที่สัตว์เลี้ยงจะได้ไม่เหนื่อยเกินไป โดยค่าใช้จ่ายจะเริ่มต้นที่ประมาณ 3,000 - 10,000 บาท ขึ้นอยู่กับสายการบิน เส้นทางบิน และขนาดของกรงค่ะ

อาทิเช่น Thai Airways และ Japan Airlines สามารถนำสัตว์เลี้ยงเดินทางได้แค่แบบ Check Baggage เท่านั้น โดยเจ้าหน้าที่จะนำสัตว์เลี้ยงของท่านไปโหลดไว้ที่ห้องบรรทุกสัมภาระพิเศษใต้ท้องเครื่องที่มีระบบควบคุมอุณหภูมิที่เหมาะสมกับสัตว์เลี้ยงและมีระบบรักษาความปลอดภัยพิเศษ แต่จะจำกัดในบางเที่ยวบินเท่านั้น ไม่สามารถนำสัตว์เลี้ยงไปได้ทุกประเทศหรือทุกเที่ยวบิน อีกทั้งยังปฏิเสธการรับสุนัขในหลายๆสายพันธุ์ โดนเฉพาะสายพันธุ์หน้าสั้นและสายพันธุ์ดุร้าย เช่น พิทบูล เชาเชา บูลด็อก ปั๊ก ชิสุ เนื่องจากลักษณะทางกายภาพทีไม่เหมาะสม ฉะนั้นควรโทรไปสอบถามทางสายการบินก่อนจะชัวร์ที่สุด

3. เลือกแบบแครี่ออนหรือฝากใต้ท้องเครื่อง

โดยปกติแล้วถ้าสัตว์เลี้ยงของเราน้ำหนักน้อยกว่า 10 กิโลกรัม มีขนาดเล็กและมีอายุมากกว่าแปดถึงสิบสัปดาห์ขึ้นไป คุณสามารถนำโหลดหรือพาขึ้นเครื่องได้ แต่หากใช้บริการกับสายการบินที่มีให้เลือกทั้งสองแบบอย่าง Delta Airline จะอนุญาตให้นำสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องได้ แต่ขนาดกระเป๋าหรือกรงจะต้องเล็กพอที่จะไว้ใต้เก้าอี้ด้านหน้าของเราเท่านั้น ส่วนสัตว์เลี้ยงที่มีขนาดใหญ่จะต้องโหลดแบบ Check Baggage แถมยังจำกัดในบางเที่ยวบินอีกด้วย ซึ่งส่วนมากจะมีให้บริการแบบฝากใต้ท้องเครื่องมากกว่านำขึ้นเครื่อง

ที่สำคัญขอให้แน่ใจว่าตอนจองตั๋วได้โทรไปแจ้งทางสายการบินว่า คุณจะนำสัตว์เลี้ยงไปด้วยและอย่าลืมโทรไปประมาณ 1-2 วันก่อนบิน เพื่อคอนเฟิร์มสายการบินอีกครั้ง

4. ซื้อกรงหรือกระเป๋าใส่สัตว์เลี้ยง

ก่อนที่จะซื้อ อย่าลืมตรวจสอบขนาดของกรงหรือกระเป๋ากับทางสายการบินว่าเขาให้ใช้ขนาดเท่าไร จะได้ถูกต้องและไม่มีปัญหาทีหลัง กรงหรือกระเป๋าควรมีขนาดที่ใหญ่พอให้สัตว์เลี้ยงเราขยับตัวหมุนตัวได้ จะได้ไม่อึดอัดจนเกินไป อีกทั้งกรงที่ดี ควรมีมาตรฐานได้รับการรับรองและแข็งแรงทนทานค่ะ

ถ้านำสัตว์เลี้ยงไปโหลด อย่าลืมเขียนชื่อ-ที่อยู่ให้ชัดเจน พร้อมให้อาหารและน้ำดื่มกับสัตว์เลี้ยงด้วย และห้ามลืมเขียนว่า “มีสิ่งมีชีวิตอยู่ในกรง” ตัวใหญ่ๆด้วย!!

5. พาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์

คุณจะต้องพาสัตว์เลี้ยงไปพบสัตวแพทย์ก่อนบิน เพราะจะต้องได้หนังสือรับรองล่วงหน้าไม่เกิน 10 วันก่อนบิน โดยต้องได้รับการรับรองจาก USDA และถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณฝังไมโครชิพ เช็คให้แน่ใจว่ามีเลขอยู่บนเอกสารด้วย 

6. ตรวจสอบข้อปฏิบัติและกฎหมายของประเทศที่จะไป

อย่าลืมตรวจสอบฎหมายการนำเข้าสัตว์เลี้ยงของประเทศที่เรากำลังจะไปให้ดี เพราะคุณควรรู้ว่าสัตว์เลี้ยงที่อยู่ในสายพันธุ์ดุร้ายส่วนใหญ่นั้น จะไม่อนุญาตให้นำเข้าในหลายๆประเทศ 

7. ทำ ID หรือ Passport ให้สัตว์เลี้ยง

เหตุฉุกเฉินเกิดขึ้นได้เสมอ ขนาดกระเป๋าเดินทางของเรายังหาย เพราะสายการบินทำตกหล่นหรือส่งไปผิดที่เลย ต่างอะไรกับสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราหายหละ ฉะนั้นนอกจากชื่อและเบอร์ติดต่อของเราที่อยู่บนปลอกคอของสัตว์เลี้ยงแล้ว แนะนำให้ฝังไมโครชิพด้วย โดยเฉพาะการบินระหว่างประเทศ เพราะเราจะได้ตามตัวสัตว์เลี้ยงถูก หากเกิดเหตุฉุกเฉินขึ้นมา ยิ่งในแถบประเทศยุโรป เราจะต้องทำ Pet Passport ให้สัตว์เลี้ยงของเราอีกด้วย

8. ทำประกันภัยให้สัตว์เลี้ยง

ถ้าคุณเลี้ยงสัตว์ย่อมรู้ดีว่าค่ารักษาในแต่ละทีจำนวนไม่น้อยเลยทีเดียว และการท่องเที่ยวก็ย่อมมีความเสี่ยงต่อสุขภาพของสัตว์เลี้ยงแสนรักของเราด้วย การทำประกันภัยก็ถือเป็นไอเดียที่ดีที่จะทำให้เราอุ่นใจหากสัตว์เลี้ยงของเราเป็นอะไรขึ้นมา

9. เลือกจองโรงแรมที่ Pet-friendly

ก่อนจะจองโรงแรมหรือที่พัก อย่าลืมเช็คให้แน่ใจว่าเขาให้นำสัตว์เลี้ยงเข้าพักได้หรือไม่ เพราะแต่ละที่ก็มีกฎที่ต่างกันออกไป ฉะนั้นควรถามให้ชัวร์ว่าเราสามารถพาสัตว์เลี้ยงของเราเข้าไปพักหรือไปในส่วนไหนของโรงแรมได้บ้าง

10. สร้างความคุ้นเคยให้สัตว์เลี้ยง

ถ้าสัตว์เลี้ยงของคุณถูกเลี้ยงในบ้านเป็นส่วนใหญ่ ก่อนเดินทางคุณควรจะพาน้องออกไปเดินเที่ยว พบเจอผู้คนให้มากขึ้น เช่น เดินเล่นในสวนสาธารณะ หรือนั่งรถเที่ยวนานๆ เพื่อสร้างความคุ้นเคยให้กับน้อง เพราะถ้าคุณวางแผนที่จะพาสัตว์เลี้ยงของคุณขึ้นเครื่องแล้ว ควรทำให้สัตว์เลี้ยงชินกับกรงหรือกระเป๋าเป็นระยะเวลาพอสมควร

11. เตรียมของให้สัตว์เลี้ยง

อุบัติเหตุเกิดขึ้นได้เสมอบนเครื่องบิน แน่นอนว่าคุณควรเตรียมผ้าขนหนูและทิชชู่เปียกไว้ หากสัตว์เลี้ยงของคุณฉี่ และอย่าลืมเตรียมขวดน้ำสำหรับสัตว์ที่ไว้ให้น้องกินน้ำด้วย

12. อย่าลืมให้อาหาร

ตามกฎของ USDA อาหารและน้ำดื่มควรเพียงพอสำหรับการบินสี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่ควรเยอะจนเกินไป และตอนเช็คอินนั้น อย่าลืมแจ้งให้เจ้าหน้าที่ทราบถึงเวลาครั้งสุดท้ายที่ได้ให้อาหารสัตว์เลี้ยงด้วย

13. พาสัตว์เลี้ยงออกกำลังกายก่อนขึ้นเครื่อง

ถ้าสัตว์เลี้ยงของเราจำเป็นต้องอยู่ในกรงหรือกระเป๋านานๆ คุณควรพาน้องไปเดินเล่นออกกำลังกายให้มากก่อนจะขึ้นบิน และถ้าสัตว์เลี้ยงเป็นแมว ควรเล่นมีของเล่นให้กับแมวด้วย

14. เผื่อเวลาก่อนบินเยอะๆ

ถ้าคุณจะนำสัตว์เลี้ยงโหลดใต้ท้องเครื่อง คุณจะต้องเผื่อเวลาไว้เยอะๆ เพราะคุณจะต้องไปติดต่อทำเรื่องอีกที่หนึ่ง จะได้ไม่พลาดหากมีอะไรติดขัดในระหว่างบิน (ในกรณีที่ถือสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่อง)

15. อย่าให้อาหารถ้าไม่จำเป็น

อย่าให้อาหารสัตว์เลี้ยงของคุณมากเกินไป เพราะคุณคงไม่อยากเก็บอุจาระของน้องบนเครื่องบินสักเท่าไร ที่สำคัญอาจส่งกลิ่นรบกวนผู้โดยสารท่านอื่นอีกด้วย

16. ใส่กรงหรือจูงสายรัดให้เรียบร้อย

ถ้าเป็นไปได้ให้สัตว์เลี้ยงอยู่ในกรงหรือกระเป๋าให้เรียบร้อย วางไว้ในช่องว่างใต้เก้าอี้ ไม่นำออกมาระหว่างเครื่องบินเทคออฟหรือแลนดิ้งโดยเด็ดขาด และอย่าลืมทิ้งของเล่นไว้ให้น้องด้วย เพราะในบางสายการบินเราสามารถจูงสัตว์เลี้ยงขึ้นเครื่องได้เลย แต่ขอให้แน่ใจว่าสัตว์เลี้ยงของคุณถูกฝึกมาอย่างดี ไม่ส่งเสียงดัง ไม่ขู่ หรือกัดคนรอบข้าง ไม่เช่นนั้นเราอาจจะถูกเชิญตัวลงจากเครื่องและทำให้ทริปที่แพลนมาอย่างดีเป็นอันจบลง

17. ทำให้สงบ

โดยปกติแล้วจะไม่แนะนำให้สัตว์เลี้ยงทานยาในระหว่างเที่ยวบิน เนื่องจากความกดอากาศสูงบนเครื่องและความเครียดที่คาดเดาไม่ได้ อาจทำให้สัตว์เลี้ยงของคุณตื่นตระหนกและจิตตกได้ แต่ถ้าคุณไม่มั่นใจก็ควรไปปรึกษาสัตวแพทย์ จะได้ทำตามคำแนะนำของสัตวแพทย์ทั้งก่อนไปเที่ยวและเมื่อถึงที่หมาย

18. เตรียมเอกสารของคุณ

เพื่อความรวดเร็ว คุณควรเตรียมเอกสารของคุณและสัตว์เลี้ยงเพื่อยืนยันให้กับเจ้าหน้าที่ให้เรียบร้อย จะได้ไม่เสียเวลาเวลาโดนตรวจ

19. พาไปทำธุระเมื่อถึงที่หมาย

เมื่อคุณถึงที่หมายควรรีบพาสัตว์เลี้ยงออกมาเดินเล่นด้วยสายจูงและพาไปฉี่หรือขับถ่ายให้เร็วที่สุด หรือถ้าเป็นน้องแมว ควรจัดกระบะทรายให้น้องขับถ่ายในส่วนที่เงียบๆของสนามบิน โดยปกติสนามบินจะมีส่วนนี้บริการอยู่แล้ว ลองสอบถามเจ้าหน้าที่ดูได้ค่ะ

20. ทำให้เป็นกิจวัตร

วิธีที่ดีที่สุดที่จะไม่ทำให้สัตว์เลี้ยงของคุณเครียด คือการสร้างความคุ้นเคย จะได้ทำให้สัตว์เลี้ยงไม่ตื่นตระหนก สามารถปรับตัวได้ในเวลาอันสั้นในสถานที่ใหม่ และมีความสุขร่วมกันในทริปครั้งนี้

นอกจากเตรียมตัวเรื่องสัตว์เลี้ยงของเรา เพื่อไม่ให้การเที่ยวติดขัดแล้ว อย่าลืมลากกระเป๋าของมูฟไปนะ ดีไซน์สวยเก๋ ใส่ของได้เยอะ แข็งแรงทนทาน แถมล้อยังลื่นไหล ลากได้ 360 องศา ไม่มีติดขัดแน่นอน จูงสัตว์เลี้ยงพร้อมลากกระเป๋าเดินเที่ยวสวยๆได้สบายหายห่วง 

 

จะไปเที่ยวไหน พา MOOF49 ไปด้วยนะ

'Let’s moof together'

กลับไปยังบล็อก