ถ้าลองมองภาพของประเทศสิงคโปร์ตอนนี้ อาจทำให้เพื่อนๆคิดไม่ถึงว่า เมื่อปี 1965 หรือประมาณ 54 ปีก่อน สิงคโปร์ที่ยังเป็นประเทศกำลังพัฒนาที่เพิ่งแยกตัวมาจากประเทศมาเลเซีย ด้วยสภาพแวดล้อมที่ย่ำแย่มาก เพราะความที่เป็นเกาะขนาดเล็ก แถมแม่น้ำลำคลองเต็มไปด้วยสิ่งสกปรก ทำให้ระบบระบายน้ำต่างๆไร้ซึ่งประสิทธิภาพนั้น จะกลายเป็นประเทศ Green City ที่ทั่วโลกต่างยอมรับอย่างในทุกวันนี้!!!
อีกทั้งเมื่อมีการจัดอันดับตามสภาพแวดล้อมและ Ecosystem สิงคโปร์ยังอยู่ในอันดับ 14 ของโลก และกลายเป็นผู้นำในกลุ่มเอเชียอีกด้วย โดยการทิ้งห่างประเทศอื่นๆในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้อย่าง มาเลเซียที่อยู่อันดับ 63 ไทยอันดับ 91 อินโดนีเซียอันดับ 107 และเวียดนามอันดับ 131 ยิ่งทำให้สิงคโปร์ถูกยกย่องว่าเป็นประเทศที่มีความ Eco-friendly มาก จากนโยบายของอดีตนายกรัฐมนตรี ลีกวนยู ผู้ที่มีความฝันว่าวันหนึ่งสิงคโปร์จะต้องถูกเรียกว่า ‘The Garden City’ นั่นเอง
ความ Green City ที่นักท่องเที่ยวอย่างเราๆสัมผัสได้ทันทีเมื่อถึงสิงคโปร์ คือ Changi Airport สนามบินที่ได้รับรางวัลมากกว่า 500 รางวัล!! แต่ถึงอย่างนั้นสิงคโปร์ก็ไม่เคยหยุดที่จะพัฒนา ด้วยการทำโปรเจค ‘Jewel’ เพิ่มขึ้นมา หนึ่งในแลนด์มาร์คใหม่ที่อยู่ด่านหน้าของเทอร์มินัล 1 แถมยังเข้าถึงได้ง่ายจากผู้คนที่มาใช้บริการ ด้วยขนาดที่ใหญ่ถึง 137,000 ตารางเมตร!!! เป็นแหล่งรวมร้านค้า ร้านอาหาร และสถานที่พักผ่อนเอาไว้ในที่เดียว โดย Jewel จะมีลักษณะเป็นโครงสร้างเหล็กรูปโดมแก้ว แต่ยังคงไว้ซึ่งคอนเซ็ป City in a Garden เหมือนเดิม
ส่วน Highlight ที่สำคัญใน Jewel คือ ‘Rain Vortex’ น้ำตกขนาดใหญ่ที่สูงถึง 40 เมตร ที่ถูกยกให้เป็นน้ำตกในร่มที่สูงที่สุดในโลกอีกด้วย และเมื่อเพื่อนๆลองหันไปมองรอบๆ เราก็จะเห็นต้นไม้ พันธ์ุพืช และดอกไม้ต่างๆที่โอบล้อมด้วยแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านตัวกระจกแก้ว ซึ่งทำให้ที่นี่ถูกขนานนามว่า Forest Valley
ยิ่งเมื่อเพื่อนๆเข้าสู่เมืองสิงคโปร์ ไม่ว่ามองไปทางไหนเราก็จะเห็นต้นไม้ปลูกเต็มสองข้างทาง
และอีกหนึ่งในสถานที่ที่ใหญ่ที่สุดและเห็นได้ชัดเจนที่สุดของความ Eco-friendly ต้องขอยกให้ ‘Garden by the Bay’ เลย แลนด์สเคปสำคัญที่อยู่ด้านหลังของ Marina Bay Sands Complex ที่ผู้คนทั่วโลกต่างหลงไหลและอยากเข้าไปเที่ยวชมเจ้า ‘Supertree Grove’ กันมาก เพราะเป็นการผสมผสานระหว่างธรรมชาติและเทคโนโลยีเข้าด้วยกัน!! ซึ่งเจ้า Supertree คือสวนในแนวตั้งที่มีความสูง 25-50 เมตร ทั้งยังเก็บรับพลังงานแสงอาทิตย์และมีโครงสร้างที่เก็บน้ำฝนได้ ซึ่งน้ำเหล่านี้ยังสามารถนำไปใช้กับส่วนต่างๆในสวนได้อีกด้วย โดยสวนแห่งนี้มีความสำคัญอย่างมากเพราะถือเป็นแหล่งพลังงานสะอาดอย่างแท้จริง
ส่วนเพื่อนๆที่ไปเที่ยวรอบ ๆ เมืองสิงคโปร์ ก็ยังมี Green Building อีกหลายที่ให้ไปเยี่ยมชมกัน เช่น
ตึกอาคารสำนักงาน CapitaGreen
ที่ตั้งอยู่ใจกลางย่านธุรกิจ แต่ถูกออกแบบมาให้คำนึงถึงสิ่งแวดล้อมและเชื่อมต่อกับธรรมชาติมากที่สุด ตัวผนังตึกถูกออกแบบมาให้มี Double-skin เพื่อลดอุณหภูมิความร้อนของตึกลง และมีสวนลอยฟ้าที่จะดึงเอาไอเย็น ช่วยลดการใช้เครื่องปรับอากาศได้ ซึ่งนอกจากความสวยงามแล้ว ยังช่วยประหยัดไฟได้เป็นอย่างมากอีกด้วย
โรงแรม PARKROYAL on Pickering
ที่เพิ่งจะได้รับรางวัลจาก The World Travel Awards ในหัวข้อ Asia’s Leading Green Hotel หรือ รางวัลโรงแรมชั้นนำสีเขียว นั่นเอง เนื่องจากโรงแรมนี้มีความใส่ใจสิ่งแวดล้อมเป็นอย่างมาก ด้วยการนำความเป็น Eco-friendly มาปรับใช้ เช่น ระบบกักเก็บน้ำฝน กำแพงธรรมชาติที่ช่วยลดการใช้พลังงาน และมีน้ำตกที่เป็นเหมือนระบบปรับอากาศจากธรรมชาติ
คอนโด Tree House
ที่ตั้งอยู่ในย่าน Chinatown ตัวคอนโดนำเสนอสวนในแนวตั้งที่ครอบคลุมพื้นที่ถึง 2,323 ตารางเมตร!! จึงทำให้ตึกนี้ถูกจัดว่าเป็น ‘สวนในแนวตั้งที่ใหญ่ที่สุดของโลก’ จาก Guinness World Record
นอกจากนี้ก็ยังมีสถานที่อื่นอีกมากมายที่ทำให้สิงคโปร์ไม่ใช่แค่มีสวนในเมือง แต่เป็นเมืองที่อยู่ในสวนต่างหาก!!!
ไม่ว่าใครที่ได้มาเที่ยวสิงคโปร์ก็มักจะตกใจกับความเขียวของประเทศนี้ เนื่องจากเป็นประเทศเกาะเล็กๆที่มีประชากรหนาแน่นและมีทรัพยากรอย่างจำกัด แต่ด้วยเหตุผลนี้เองจึงทำให้เกิดนโยบายส่งเสริมคุณภาพชีวิต เพื่อสร้างสิ่งแวดล้อมที่ดีขึ้น เรียกได้ว่าใส่ใจทั้งผู้คนและธรรมชาติไปพร้อมๆกัน
รู้แบบนี้แล้วเพื่อนๆอย่าลืมหาเวลาว่างจัดทริปไปสัมผัส Green City ที่สิงคโปร์กันน้า
Let’s Moof.
ขอบคุณข้อมูลจาก
https://garage.vice.com/en_us/article/zmdjae/singapore-marina-one